12 ธันวาคม 2552

มีคำคม เด็ด ๆ มาฝาก





13 ตุลาคม 2552

K.N.CHORUS คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ระดับประเทศ

คณะK.N.CHORUS รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2

พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท จากการประกวดขับร้อง

เพลงประสานเสียงรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ

ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร กทม.เมื่อ 4 กันยายน 2552

จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม

อำนวยการฝึกซ้อมโดยผู้อำนวยการ อุส่าห์ ศิวาโมกข์

ควบคุมและฝึกซ้อมโดยครูประสพสุข รัตนสุภา

**เชิญชมวิดีโอบันทึกการแข่งขันได้ที่ด้านล่างสุดของบล็อกนะครับ**

*******ช่องวีดีโอ ก่อนช่องภาพจากทั่วทุกมุมโลก********

หากไม่สามารถรับชมได้ ให้ลิงค์โดยตรงที่

http://www.youtube.com/watch?v=oZl0seO0pcA

http://www.youtube.com/watch?v=NpqG_aPSfL4

http://www.youtube.com/watch?v=fgZGsVM8LE8

29 สิงหาคม 2552

ประมวลภาพกิจกรรม 301

ทั้งสวย ทั้งหล่อกันทุกคนเลย...


ขอโออิชิเพิ่มอีก 2 กล่อง


จะเครียดไปทามไม ยิ้มหน่อย..

คนเนี้ย... หล่อสุด ๆ (จริง ๆ นะ)

คู่รักใหม่แห่งวงการ (ดูเอาเองแล้วกันว่าใคร)

"ก็รู้ ๆ กันอยู่"
แว่นนะใส่ไว้กันแดด หรือบังหน้าจ๊ะ

ตั้งหน้าตั้งตาทำ สุดความสามารถ(เท่าที่มี)

น็อตเอ้ย... ระวังคอหัก เพราะ อดไม่ไหวที่ต้องหันมองความสวย

ของ... (ดูไม่ออก ไม่รู้ใคร)


สวยมาก ดอกไม่น่ะ


แอ็บแบ้ว น่าดูเลย


แต่งอย่างกะ จาวเมือง


จ้องผักจนจะเน่าหมดแล้ว


หน้าตาดูเครียดนะเนี่ย แต่ไม่รุเรื่องอะไร


ฝีมือน้องทรายเค้าล่ะ
ระวัง ! ควายจะขวิดเอา

แรด...เอ้ย เริดสุด ๆ


น้องทราย เค้าแหละ

ภาพถ่ายที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
ปี 50
จะพยายามอัพเดท เรื่อย ๆ

27 สิงหาคม 2552

การถนอมอาหาร

การถนอมอาหาร หมายถึง การเก็บรักษาอาหาร หรือแปรรูปอาหารให้อยู่ในสภาพที่เก็บได้นานขึ้น
โดยไม่บูดเสีย ซึ่งผลของการถนอมอาหารจะช่วยยืดอายุการเก็บ ชะลอการเปลี่ยนแปลงสี กลิ่นรส เนื้อ
สัมผัส และลักษณะที่ดีอื่น ๆ ของอาหารไว้ นอกจากนี้การถนอมอาหารยังสามารถช่วยให้มีอาหารบริโภค
อย่างทั่วถึงกัน เช่น ในบางพื้นที่ของโลกมีผักผลไม้บริโภคตลอดปีแต่ในอีกแถบหนึ่งอาจขาดแคลน จำเป็น
ต้องพึ่งพาอาหารจากที่อื่น การถนอมอาหารจึงช่วยให้คนที่อยู่ในที่ที่ขาดแคลนได้บริโภคเช่นเดียวกันได้

การถนอมอาหารมีหลายวิธี บางวิธีทำได้ง่ายโดยสามารถทำได้ในระดับครัวเรือน แต่บางวิธีต้องทำ
ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งอาหารที่ถนอมแล้วบางอย่างเก็บได้หลายวัน บางอย่างเก็บได้เป็นเดือน และ
บางอย่างเก็บได้เป็นแรมปีก็ยังเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค

ในการถนอมอาหารนั้น ไม่เพียงแต่หาวิธีป้องกันมิให้อาหารเน่าเสียเท่านั้น ยังต้องพยายามให้
อาหารมีสี กลิ่น รส เนื้อสัมผัส และคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ให้เหมือนอาหารสดมากที่สุด ยกเว้นจะจงใจ
ให้อาหารนั้นมีรูปแบบหรือกลิ่นรสแปลกออกไป เช่น แหนม ผักกาดดอง ผลไม้แช่อิ่ม ไวน์ ปลารมควัน

ก่อนที่จะทำการถนอมอาหาร ควรทราบสาเหตุของการเน่าเสียของอาหาร เพื่อจะได้เลือกวิธีการ
ถนอมอาหารได้อย่างเหมาะสม สำหรับสาเหตุการเน่าเสียของอาหาร ส่วนใหญ่เกิดจาก :

1. เอนไซม์ (enzyme) มีอยู่ในวัตถุดิบทั่วไปทั้งอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้
เอนไซม์เป็นสารอินทรีย์ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต เช่น เอนไซม์ในผลไม้ ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงสี กลิ่น รส ทำให้สุกงอมและเน่าเสีย เอนไซม์ถูกทำลายได้โดยความร้อน เช่น การลวก การต้ม
ส่วนการเก็บในที่เย็น เอนไซม์จะหยุดทำงานชั่วคราวหรือทำงานช้าลง
2. จุลินทรีย์ (microorganism) ได้แก่ เชื้อรา บักเตรี ยีสต์ พบทั่วไปในน้ำ อากาศ และดิน
โดยปนเปื้อนเข้ามาตั้งแต่กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว หรือการขนย้ายที่ไม่ถูกวิธีทำให้ผลไม้หรือผักช้ำมี
ตำหนิ จุลินทรีย์จะปนเปื้อนเข้าไปตามรอยช้ำ ทำให้เกิดการเน่าเสีย

นอกจากนี้ การเน่าเสียที่เกิดขึ้นอาจเนื่องจากเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น การเกิดปฏิกิริยาการเติม
ออกซิเจน ทำให้อาหารเหม็นหืน หรือเกิดจากการใช้ภาชนะบรรจุที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้วิธีการเก็บเกี่ยว
ไม่เหมาะสม

การถนอมอาหารมีหลายวิธี แต่มีหลักการใหญ่ๆ ดังนี้

1. การถนอมอาหารโดยใช้วิธีการทางกายภาพ ได้แก่

-การใช้ความร้อนทำลายจุลินทรีย์ และเอนไซม์ การใช้ความร้อนแบ่งตามระดับความร้อนได้ 2
วิธี คือ การใช้ความร้อนสูง เรียก การสเตอริไลส์ (sterilization) สามารถทำลายจุลินทรีย์ในอาหาร
ได้หมด และการใช้ความร้อนต่ำ เรียก การพาสเจอไรส์ (pasteurization) ซึ่งทำลายจุลินทรีย์ได้
เพียงบางส่วน ในการพิจารณาว่าจะใช้ความร้อนขั้นใดในการถนอมอาหาร จำเป็นต้องทราบชนิด
ของจุลินทรีย์ที่อยู่ในอาหารดังกล่าว รา ยีสต์ และบักเตรีส่วนใหญ่จะตายที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด
ของน้ำ คืออุณหภูมิระหว่าง 60 ถึง 85 องศาเซลเซียส แต่มีบักเตรีบางชนิดสามารถทนความร้อนได้
สูงขึ้นโดยการสร้างสปอร์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำลายสปอร์ด้วยการใช้ความร้อนสูง เป็นต้น อาหาร
ที่ถนอมโดยวิธีการใช้ความร้อน เช่น การทำเครื่องดื่มบรรจุขวด การทำอาหารบรรจุกระป๋อง

-การใช้ความเย็นเพื่อลดอุณหภูมิของอาหาร เช่น การแช่เย็น การแช่แข็ง สำหรับการแช่เย็น
สามารถเก็บอาหารได้ในระยะสั้น ส่วนการแช่แข็งจะเก็บได้นานกว่า อาจเป็นปีถ้าผ่านกรรมวิธีที่
เหมาะสมและอาหารนั้นยังมีลักษณะและคุณภาพคล้ายอาหารสด

-การกำจัดน้ำหรือลดปริมาณน้ำในอาหาร เช่น การทำแห้งด้วยการตากแดด หรือในปัจจุบันได้มี
การออกแบบเป็นตู้อบแสงแดด ที่ช่วยประหยัดเวลาและผลิตภัณฑ์ที่ได้ยังสะอาดถูกสุขลักษณะ
นอกจากนี้ยังมีการทำให้แห้งด้วยเครื่องจักรอื่น ๆ เช่น ตู้อบลมร้อน เครื่องพ่นฝอย เครื่องทำแห้ง
แบบลูกกลิ้ง เครื่องทำแห้งแบบอบแห้งเยือกแข็ง

-การอาบรังสี ช่วยยืดอายุของอาหาร ช่วยชลอการสุกของผลไม้ และยังช่วยยืดอายุการงอกของพืช
บางชนิด เช่น มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่

2. การถนอมอาหารโดยใช้จุลินทรีย์ ได้แก่ การหมักดอง ซึ่งแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้

-การหมักดองเพื่อให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น การทำเบียร์ ข้าวหมาก ไวน์จากผลไม้ต่าง ๆ

-การหมักดองที่ทำให้เกิดกรดน้ำส้ม เช่น การทำน้ำส้มสายชูหมัก

-การหมักดองที่ทำให้เกิดกรดแลกติก เช่น การทำผักดองเปรี้ยว ผลไม้ดอง

3. การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาล ซึ่งต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม คือมากกว่าร้อยละ 40 เช่น น้ำผลไม้
เข้มข้น แยม เยลลี นมข้นหวาน ผลไม้แช่อิ่ม อาหารดังกล่าวเก็บได้นานเนื่องจากแรงดันออสโมซีสของ
น้ำตาลสูง ทำให้สภาพของอาหารไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ของจุลินทรีย์ แต่บางกรณี
อาจมีจุลินทรีย์บางชนิดเติบโตได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่นควบคู่ด้วย เช่น การบรรจุขณะร้อน การฆ่าเชื้อ
บริเวณผิวหน้าของผลิตภัณฑ์

4. การถนอมอาหารโดยใช้สารเคมี สารเคมีที่ใช้เพื่อการถนอมอาหาร ได้แก่ สารที่ยับยั้งการเจริญเติบโต
ของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย สารป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหาร โดยชนิดและปริมาณที่
ใช้ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาหาร กระทรวงสาธารณสุข

โรคธาลัสซีเมีย

โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย (อังกฤษ: thalassaemia) เป็นโรคเลือดจางที่มีสาเหตุมาจากมีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้มีการสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดผิดปกติ จึงทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ แตกง่าย ถูกทำลายง่าย ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงมีเลือดจาง โรคนี้พบได้ทั้งหญิงและชายปริมาณเท่าๆ กัน ถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรมพบได้ทั่วโลก และพบมากในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้ร้อยละ 1 และพบผู้ที่มีพาหะนำโรคถึงร้อยละ 30-40 คือประมาณ 20-25 ล้านคน เมื่อพาหะแต่งงานกันและพบยีนผิดปกติร่วมกัน ก็อาจมีลูกที่เกิดโรคนี้ได้ ซึ่งประมาณการณ์ว่าจะมีคนไทยเป็นมากถึง 500,000 คน โรคนี้ทำให้เกิดโลหิตจางโดยเป็นกรรมพันธุ์ของการสร้างเฮโมโกลบิน ซึ่งมีสีแดงและนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ

-พยาธิวิทยา-

ธาลัสซีเมียเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของการสังเคราะห์เฮโมโกลบินที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงในอัตราการสร้างสายโปรตีนโกลบิน การที่มีอัตราการสร้างสายโกลบินชนิดหนึ่งๆ หรือหลายชนิดลดลงจะรบกวนการสร้างเฮโมโกลบินและทำให้เกิดความไม่สมดุลในการสร้างสายโกลบินปกติอื่น
เฮโมโกลบินปกติประกอบด้วยสายโกลบินสองชนิด (แอลฟาและไม่ใช่แอลฟา) ในอัตราส่วน 1:1 สายโกลบินปกติส่วนเกินจะตกค้างและสะสมอยู่ในเซลล์ในรูปของผลผลิตที่ไม่เสถียร ทำให้เซลล์เสียหายได้ง่าย ความไม่สมดุลนี้เป็นลักษณะสำคัญของธาลัสซีเมียทุกชนิด ด้วยเหตุผลนี้ธาลัสซีเมียหลายชนิดจึงไม่ถูกถือว่าเป็นโรคทางความผิดปกติของเฮโมโกลบินเนื่องจากลักษณะของสายโกลบินเหล่านี้ปกติแต่มีความผิดปกติอยู่ที่การลดลงของอัตราการสร้างสายโกลบินปกติเหล่านี้ อย่างไรก็ดีโรคธาลัสซีเมียที่เป็นโรคเฮโมโกลบินผิดปกตินั้นก็มีอยู่เช่นกัน

ชนิดและอาการ
ธาลัสซีเมีย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ แอลฟาธาลัสซีเมีย และ เบต้าธาลัสซีเมีย ซึ่งก็คือ ถ้ามีความผิดปกติของสายแอลฟา ก็เรียกแอลฟาธาลัสซีเมีย และถ้ามีความผิดปกติของสายเบต้าก็เรียกเบต้าธาลัสซีเมีย
เบต้าธาลัสซีเมีย เบต้าธาลัสซีเมียจะเกิดขึ้นเมื่อสายเบต้าในเฮโมโกลบินนั้นสร้างไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเฮโมโกลบินจึงขนส่งออกซิเจนได้ลดลง ในเบต้าธาลัสซีเมียสามารถแบ่งออกได็เป็นหลายชนิดย่อย ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของยีนส์ในการสร้างสายเบต้า
แหล่งระบาดของเบต้าธาลัสซีเมียได้แก่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแถบเมดิเตอเรเนียน
ถ้ามียีนที่สร้างสายเบต้าได้ไม่สมบูรณ์ 1 สาย(จากสายเบต้า 2สาย) อาจจะมีภาวะซีดเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
ถ้ามียีนที่สร้างสายเบต้าได้ไม่สมบูรณ์ทั้ง 2 สาย (จากสายเบต้าทั้ง2สาย) ภาวะซีดอาจมีความรุนแรงได้ปานกลางถึงมาก ในกรณีนี้เกิดจากได้รับยีนที่ผิดปกติมาจากทั้งพ่อและแม่
ถ้ามีภาวะซีดปานกลาง จำเป็นต้องได้รับเลือดบ่อยๆ โดยปกติแล้วสามารถมีชีวิตได้จนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ถ้ามีภาวะซีดที่รุนแรงมักจะเสียชีวิตก่อนเนื่องจากซีดมาก ถ้าเป็นรุนแรงอาการมักจะเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 6 เดือนแรกหลังเกิด แต่ถ้าเด็กได้รับเลือดอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเริ่มก็มักจะมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็มักจะเสียชีวิตเนื่องจากอวัยวะต่างๆถูกทำลาย เช่นหัวใจ และตับ
แอลฟาธาลัสซีเมีย แอลฟาธาลัสซีเมีย เกิดขึ้นเนื่องจากเฮโมโกลบินในสายแอลฟามีการสร้างผิดปกติ โดยปกติแล้วจะมีแหล่งระบาดอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ได้แก่ ไทย จีน ฟิลิปปินส์ และบางส่วนของแอฟริกาตอนใต้
ความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้างสายแอลฟา โดยปกติแล้วสายแอลฟา 1 สายจะกำหนดโดยยีน 1 คู่(2ยีน) ดังนี้
ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับยีนในการสร้างสายแอลฟา 1 ยีน จะไม่มีอาการใดๆ แต่จะเป็นพาหะที่ส่งยีนนี้ไปยังลูกหลาน ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับยีนในการสร้างสายแอลฟา 2 ยีน จะมีภาวะซีดเพียงเล็กน้อย แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับยีนในการสร้างสายแอลฟา 3 ยีน จะเกิดภาวะซีดได้ตั้งแต่รุนแรงน้อย จนถึงรุนแรงมาก บางครั้งเรียกว่าเฮโมโกลบิน H ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับเลือด ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับยีนในการสร้างสายแอลฟา 4 ยีน จะเสียชีวิตภายในระยะเวลาสั้นๆภายหลังจากเกิดออกมา เรียกว่า เฮโมโกลบินบาร์ต

-อาการ-
จะมีอาการซีด ตาขาวสีเหลือง ตัวเหลือง ตับโต ม้ามโต ผิวหนังดำคล้ำ กระดูกใบหน้าจะเปลี่ยนรูป มีจมูกแบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแก้มนูนสูง คางและขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันบนยื่น กระดูกบาง เปราะ หักง่าย ร่างกายเจริญเติบโตช้ากว่าคนปกติ แคระแกร็น ท้องป่อง ในประเทศไทยมีผู้เป็นโรคประมาณร้อยละ 1 ของประชากรหรือประมาณ 6 แสนคน
โรคเลือดจางธาลัสซีเมียมีอาการตั้งแต่ไม่มีอาการใดๆ จนถึงมีอาการรุนแรงมากที่ทำให้เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 1 วัน ผู้ที่มีอาการจะซีดมากหรือมีเลือดจางมาก ต้องให้เลือดเป็นประจำ หรือมีภาวะติดเชื้อบ่อยๆ หรือมีไข้เป็นหวัดบ่อยๆ ได้ มากน้อยแล้วแต่ชนิดของธาลัสซีเมียซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งแอลฟา-ธาลัสซีเมีย และเบต้า-ธาลัสซีเมีย

-ผู้ที่มีโอกาสเป็นพาหะ-
ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นพาหะหรือมียีนแฝงสูง
ผู้ที่มีลูกเป็นโรคนี้ แสดงว่าทั้งคู่สามีภรรยาเป็นพาหะหรือมียีนแฝง
ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคธาลัสซีเมีย
ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียและแต่งงานกับคนปกติที่ไม่มียีนแฝง ลูกทุกคนจะมียีนแฝง
จากการตรวจเลือดด้วยวิธีพิเศษดูความผิดปกติของเฮโมโกลบิน

-โอกาสเสี่ยงของการมีลูกเป็นโรคธาลัสซีเมีย-

ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย (ป่วยทั้งคู่)
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งลูกทุกคนจะป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย
ในกรณีนี้จึงไม่มีลูกที่เป็นปกติเลย

ถ้าทั้งพ่อและแม่มียีนแฝง (เป็นพาหะทั้งคู่)
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะเป็นปกติ เท่ากับ ร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะมียีนแฝง (เป็นพาหะ) เท่ากับ ร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่จะมีลูกจะเป็นธาลัสซีเมีย เท่ากับ ร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4

ถ้าพ่อหรือแม่เป็นยีนแฝงเพียงคนเดียว (เป็นพาหะ 1 คน ปกติ 1 คน)
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่จะมีลูกปกติเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะมียีนแฝงเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2

ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคธาลัสซีเมียเพียงคนเดียวและอีกฝ่ายมียีนปกติ (เป็นโรค 1 คน ปกติ 1 คน)
ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งลูกทุกคนจะมียีนแฝง หรือเท่ากับเป็นพาหะร้อยละ 100
ในกรณีนี้จึงไม่มีลูกที่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย และไม่มีลูกที่เป็นปกติด้วย

ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคธาลัสซีเมียเพียงคนเดียวและอีกฝ่ายมียีนแฝง (เป็นโรค 1 คน เป็นพาหะ 1 คน)
ในการมีครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะป่วยเป็นโรคเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2
ในการมีครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะมียีนแฝงเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2
ในกรณีนี้จึงไม่มีลูกที่เป็นปกติเลย

การรักษา
ให้รับประทานวิตามินโฟลิควันละเม็ด
ให้เลือดเมื่อผู้ป่วยซีดมากและมีอาการของการขาดเลือด
ตัดม้ามเมื่อต้องรับเลือดบ่อยๆ และม้ามโตมากจนมีอาการอึดอัดแน่นท้อง กินอาหารได้น้อย
ไม่ควรรับประทานยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก
ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงซีดมาก ต้องให้เลือดบ่อยมากจะมีภาวะเหล็กเกิน อาจต้องฉีดยาขับเหล็ก

แบบประคับประคอง (Low Transfusion)
เพื่อเพิ่มระดับเฮโมโกลบินไว้ในระดับหนึ่ง ไม่ให้เด็กอ่อนเพลียจากการขาดออกซิเจน ซึ่งจะทำให้เด็กไม่เติบโต

การให้เลือดจนหายซีด (High Transfusion)
ระดับเฮโมโกลบินสูงใกล้เคียงคนปกติ ซึ่งอาจต้องให้เลือดทุกสัปดาห์ 2-3 ครั้ง จนระดับเฮโมโกลบินอยู่ในเกณฑ์ดี และต่อไปจะให้สม่ำเสมอทุก 2-3 สัปดาห์ ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ถ้าให้ตั้งแต่อายุน้อยในเด็กที่เป็นชนิดรุนแรง จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าเด็ก เขาจะเติบโตมีรูปร่างแข็งแรงดี หน้าตาดี ตัวไม่เตี้ย ตับและม้ามไม่โต แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ โดยระมัดระวังผลแทรกซ้อนจากการให้เลือดบ่อยและจะต้องให้ยาขับเหล็ก ซึ่งอาจสะสมได้จากการให้เลือดบ่อยครั้ง
นอกจากการให้เลือดดังกล่าว บางรายที่มีอาการม้ามโตมากจนต้องให้เลือดถี่ๆ จากการที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลายในม้ามมาก ต้องตัดม้ามออกแต่จะมีการป้องกันการติดเชื้อที่อาจมีตามมาด้วย

ปลูกถ่ายไขกระดูก
โดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด ซึ่งนำมาใช้ในประเทศไทยแล้วประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งทำสำเร็จในประเทศไทยแล้วหลายราย เด็กๆ ก็เจริญเติบโตปกติเหมือนเด็กธรรมดา โดยหลักการคือ นำไขกระดูกมาจากพี่น้องในพ่อแม่เดียวกัน (ต่างเพศก็ใช้ได้) นำมาตรวจความเหมาะสมทางการแพทย์หลายประการ และดำเนินการช่วยเหลือ

การเปลี่ยนยีน
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีทันสมัยล่าสุดคือการเปลี่ยนยีน ซึ่งกำลังดำเนินการวิจัยอยู่

โรคหัวใจขาดเลือด

โรคหัวใจขาดเลือด
เกิดจากเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เกิดอาการตีบ ทำให้เลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้ กล้ามเนื้อหัวใจ ขาดออกซิเจนชั่วขณะ เกิดอาการเจ็บหน้าอก อาการจะทุเลาเมื่อพัก และถ้าเส้นเลือดที่ตีบ เกิดอุดตันอย่างเฉียบพลัน จะทำให้เกิด กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทำให้เกิด อาการเจ็บหน้าอก อย่างรุนแรง อาจมีอาการ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน ก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาลได้
อาการเจ็บหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากการเสียสมดุลย์ ของการใช้ออกซิเจน ของกล้ามเนื้อหัวใจ ในคนปกติ หรือผู้ที่มี หลอดเลือดหัวใจตีบเล็กน้อย การไหลเวียนของเลือด เพียงพอที่จะส่งออกซิเจน ให้กล้ามเนื้อหัวใจ แม้ว่าจะทำงานอย่างหนักก็ตาม ในผู้ที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น จะมีอาการเจ็บหน้าอก เมื่อมีการออกกำลัง เพราะกล้ามเนื้อหัวใจ ต้องการออกซิเจนมากขึ้น แต่ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมีจำกัด เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อาการจะดีขึ้นเมื่อพักความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง อาการเจ็บหน้าอกมักจะเป็นไม่เกิน 10 นาที เมื่อหลอดเลือดตีบมากขึ้น ระยะเวลาที่ออกกำลังจะน้อยลง อาการเจ็บหน้าอกจะเกิดเร็วขึ้นตามลำดับ และถ้ามีอาการอุดตัน ของหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ กล้ามเนื้อหัวใจที่หลอดเลือดตันไปเลี้ยง จะตาย อาการเจ็บหน้าอก จะเป็นอยู่นาน และต่อเนื่องมากกว่า 15 นาทีขึ้นไป และอาการจะไม่ทุเลา แม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ เลย
ลักษณะอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด เป็นอาการเจ็บปวดเหมือนถูกกดดัน ผู้ป่วยมักจะบรรยายว่า มีอาการแน่นหน้าอก เหมือนถูกกด ถูกบีบ หรือรู้สึกแน่น กลางหน้าอก อาการเหล่านี้ อาจร้าวไปยังหัวไหล่ แขน คอ ขากรรไกร หรือหลังก็เป็นได้ บางคนอาจมีความรู้สึกเหมือนมีเชือดรัด หรือมัดรอบหน้าอก อาจมีอาการเหงื่อออกอย่างมาก ตัวเย็น วิงเวียน คลื่นไส้ และอ่อนแรง ระยะเวลาของการเจ็บหน้าอก และความรุนแรงของอาการเจ็บ ขึ้นอยู่กับสภาพหลอดหัวใจว่าตีบน้อย ตีบมาก หรืออุดตันโดยสิ้นเชิง และความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ ถ้าออกกำลัง หัวใจต้องทำงานหนัก ต้องการออกซิเจนมากขึ้น อาการเจ็บหน้าอกก็จะเป็นมาก และนานกว่า ในขณะพักการทำงานของหัวใจลดลง ความต้องการออกซิเจนก็จะลดลง อาการเจ็บหน้าอกจะลดลง
ใครบ้างที่มีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
สาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด มักจะเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ได้แก่
1. เพศชาย มีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด มากกว่าเพศหญิง 3-5 เท่า
2. อายุ ในเพศชายมักจะเริ่มตั้งแต่ อายุ 35 ปีขึ้นไป ในเพศหญิงจะเกิดช้ากว่า คือ มักจะเกิดในวัยหมดประจำเดือน อายุประมาณ 50-55 ปี
3. สูบบุหรี่
4. ไขมันในเลือดสูง
5. โรคความดันโลหิตสูง
6. โรคเบาหวาน
7. อ้วนและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
8. เครียดง่าย เครียดบ่อย
9. มีประวัติโรคหัวใจขาดเลือดของคนในครอบครัว
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ได้เร็วกว่าผู้อื่น และมักจะมีความรุนแรงของโรคมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
การวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด
การวินิจฉัยเบื้องต้น ที่สำคัญที่สุด คือ อาการเจ็บหน้าอก ดัง ได้กล่าวแล้วข้างต้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หลายข้อ มีอาการเจ็บหน้าอก เหมือนถูกกดทับ หรือเหมือนถูกบีบรัด เป็นมากเวลาออกกำลัง ทุเลาลงเวลาพัก อาการมักจะหายไป ใน 10-15 นาที ในกรณีที่มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีเหงื่อออกมาก วิงเวียน คลื่นไส้ มือเท้าเย็น เขียว หรือมีอาการหมดสติ พักแล้วไม่ดีขึ้น มักเกิดจาก หลอดเลือดหัวใจอุดตันโดยสิ้นเชิง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ต้องรีบนำผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลทันที ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตโดยกระทันหันได้
ในกรณีที่หลอดเลือด หัวใจตีบเล็กน้อย อาจจะไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย หรือเจ็บเล็กน้ อย เมื่อเวลาออกกำลังกายหนักเท่านั้น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะช่วยวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบน้อย คลื่นไฟฟ้าหัวใจมักจะปกติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย การออกกำลังกายทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ต้องการออกซิเจนมากขึ้น เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบ ไม่สามารถนำเลือด และออกซิเจน ให้กล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอาจมีอาการเจ็บหน้าอกเกิดขึ้น จึงช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ นอกจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย ยังช่วยบอกความรุนแรงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และสมรรถภาพของหัวใจได้อีกด้วย
ปัจจุบันการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย ทำโดยให้เดินบนสายพาน และมีการบันทึกกร๊าฟของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และความดันโลหิตตลอดเวลาที่ออกกำลังกาย และในระยะพัก หลังออกกำลังกาย เพื่อเปรียบเทียบกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในขณะที่ยังไม่ได้ออกกำลังกาย
การตรวจพิเศษอย่างอื่น ที่ช่วยในการวินิจฉัย โรคหัวใจขาดเลือด เช่น การฉีดสารกัมมันตภาพรังสี และใช้เครื่องมือตรวจจับสารเหล่านี้ ซึ่งจะปรากฏที่กล้ามเนื้อหัวใจ และนำภาพเหล่านี้มาเปรียบเทียบกัน ระหว่างในขณะพัก กับในขณะออกกำลังกาย ในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภาพที่ได้ขณะออกกำลังกาย จะมีการขาดหายไปของสารกัมมันตภาพรังสี ในบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดไปเลี้ยง
การวินิจฉัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น สำหรับวิธีการตรวจเพื่อยืนยัน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ การฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในเส้นเลือดหัวใจ โดยการใช้สายสวนหัวใจเข้าทางหลอดเลือดแดง เข้าสู่เส้นเลือดหัวใจ และมีการบันทึกภาพขณะฉีดสารทึบรังสี ผ่านเข้าไปในเส้นเลือดหัวใจ นอกจากจะเห็นลักษณะการตีบของเส้นเลือดหัวใจแล้ว ยังช่วยในการวางแผนการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ในขั้นตอนต่อไปด้วย
การรักษาโรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือดเนื่องจาก เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ เกิดตีบหรืออุดตัน โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้น โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น จะชะลอการเกิดโรคนี้ก่อนวัยอันควรจะเป็น หรืออาจจะไม่เป็นเลยก็ได้
ในผู้ที่มีอาการของโรคหัวใจขาดเลือดเป็นครั้งแรก คือมีอาการเจ็บหน้าอก เวลาออกกำลังกาย หรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติ โดยหาสาเหตุไม่ได้ ควรพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง พร้อมทั้งจะได้รับการรักษา และป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปมากขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ยังดีอยู่ จะได้ทำงานเป็นปกติต่อไปได้
การรักษาโรคหัวใจขาดเลือดประกอบไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยการลดปัจจัยเสี่ยงการลดปัจจัยเสี่ยงเป็นแนวทางที่ สำคัญอย่างยิ่ง ในการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากเส้นเลือดหัวใจตีบ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้มีการตีบของเส้นเลือดหัวใจ และยังช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลงด้วย การลดปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ
เลิกสูบบุหรี่ เด็ดขาด
ลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน
ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
ควบคุมโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ที่เป็นแล้ว ในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเหล่านี้ ควรมีการตรวจเช็คทุก 6 เดือน เพื่อที่จะได้ควบคุมโดยเร็วที่สุด
การรักษาด้วยการใช้ยาในโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความรุนแรงของโรคมีหลายระดับ ตั้งแต่ไม่มีอาการ ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน เป็นต้น เพราะฉะนั้น ยาที่ใช้รักษา จึงขึ้นอยู่กับระยะ และความรุนแรงของโรคได้แก่
ยาเพื่อป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด กับผนังของหลอดเลือดแดง ซึ่งมีผลทำให้เกิดการทำลายของผนังหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดตีบ ตันมากขึ้น และอุดตัน
ยาเพื่อช่วยลดอาการเจ็บหน้าอก ลดการทำงานของหัวใจ ช่วยให้การทำงานของหัวใจดีขึ้น
ยาเพื่อใช้ละลายลิ่มเลือด ที่อุดกั้นเส้นเลือดหัวใจที่ตีบอย่างเฉียบพลัน เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย จะได้ประโยชน์มาก ถ้าให้ได้เร็วที่สุด หลังจากที่เส้นเลือดหัวใจมีการอุดตันอย่างเฉียบพลัน ถ้าเกิน 6 ชั่วโมงไปแล้วจะได้ประโยชน์น้อย หรืออาจจะไม่ได้ประโยชน์เลย
ยาอื่นๆ ที่ใช้รักษาภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ยาที่ใช้รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ยาพวกนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นเท่านั้น
การขยายเส้นเลือดหัวใจโดยบอลลูนเป็นวิธีการขยายเส้นเลือดหัวใจโดยการให้สายสวนหัวใจผ่านทางเส้นเลือดแดงที่โคนขา เข้าไปจนถึงเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ และขยายเส้นเลือดโดยทำให้บอลลูนที่ปลายของสายสวนหัวใจพองขึ้น เพื่อที่จะดันเส้นเลือดที่ตีบให้ขยายออก จะได้มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น
การรักษาโดยการผ่าตัดต่อเส้นเลือดหัวใจใหม่โดยการใช้เส้นเลือดแดง หรือเส้นเลือดดำที่ขา มาต่อเส้นเลือดหัวใจ เพื่อเพิ่มทางเดินของเลือด ที่จะมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น

การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่เกิดจากเส้นเลือดหัวใจตีบ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ขึ้นอยู่กับระยะของโรคที่มาพบแพทย์ ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ต้องการการรักษาต่อเนื่องตลอดไป เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเลือดตีบมากขึ้น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่จะตามมาซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ภาวะหัวใจล้มเหลว และภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน

26 สิงหาคม 2552

งานเทศกาลเที่ยวไทย 5 ภาค @ สีสัน...เมืองใต้

กิจกรรมการแสดงในงานเทศกาลเที่ยวไทย 5 ภาค @ สีสัน...เมืองใต้
5 Region Thai Travel Fest @ The Zestful Splendid South

จตุคามรามเทพ

ข้าพเจ้าได้รวบรวมเรื่องราวของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ด้วยความยากลำบากเพราะประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าไปล่วงรู้เรื่องของพระองค์ท่านได้จากชีวิตของข้าพเจ้าเอง แต่เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดในชีวิตของข้าพเจ้าได้เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของพระองค์ท่าน เนื่องจากมีอยู่วันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้า (นางศิริญญา อยู่เถา) ได้เห็นรูปพระองค์ท่านครั้งแรกก็ปรากฏเรื่องราวที่แปลกประหลาดขึ้น เนื่องจากภรรยาของข้าพเจ้า ได้พูดจาแปลก ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะแปลเป็นภาษาของมนุษย์ในปัจจุบันได้ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษและภาษาไทย แต่เจ้าของภาพของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ที่เป็นรูปวาดได้บอกกับข้าพเจ้าว่าเคยมีคนมองภาพดังกล่าวแล้วก็พูดในลักษณะเดียวกันมาหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากไม่สามารถที่จะแปลออกมาเป็นภาษาคนโดยทั่วไปได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภรรยาของข้าพเจ้าข้าพเจ้าก็ตกใจไปพอสมควรเมื่อตั้งสติได้ข้าพเจ้าและเจ้าของรูปภาพ ก็ได้ตั้งคำถามเป็นภาษาไทยออกไปว่าท่านเป็นองค์พระจตุคามรามเทพใช่หรือปล่าว ภรรยาของข้าพเจ้าก็ยังคงพูดเป็นภาษาที่ไม่สามารถจะแปลได้อยู่เหมือนเดิม ข้าพเจ้าก็เฝ้าถามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งภรรยาของข้าพเจ้าสามารถพูดเป็นภาษาไทยออกมาได้ว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ พยายามสื่อให้ข้าพเจ้าและเจ้าของรูปภาพดังกล่าวได้รับทราบเรื่องบางเรื่อง สักพักภรรยาของข้าพเจ้าก็พูดเป็นภาษาแปลก ๆ ที่ข้าพเจ้าและเจ้าของรูปไม่สามารถเข้าใจได้อีก แต่ครั้งนี้สามารถสงบสติได้เร็วเพื่อสื่อสารกับข้าพเจ้าและเจ้าของรูปเป็นภาษาไทยได้เร็วขึ้น ข้าพเจ้าถามว่าที่บอกว่าท่านเสียใจท่านเสียใจอะไร ภรรยาข้าพเจ้าก็ตอบว่าเสียใจที่คนนำท่านมาทำไม่ถูกต้องที่นำท่านมาเป็นสินค้าซื้อขายกันมากมายทั้งบ้านทั้งเมืองแบบนี้ ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่าท่านดีใจ ข้าพเจ้าก็ถามว่าดีใจเรื่องอะไร ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่าพระองค์ท่านดีใจที่มีคนบูชาพระองค์ท่าน พระองค์จะปกปักษ์รักษาเมืองและผู้คน ข้าพเจ้าถามว่าพระองค์ท่านมีกี่พระองค์กันแน่ เพราะเห็นมีทั้งจตุคามและรามเทพ แต่รูปที่เห็นเป็นรูปวาดที่อยู่ต่อหน้านี้เป็นรูปเพียงพระองค์เดียว ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่ามีอยู่สองพระองค์แต่รูปวาดนั้นซีกหนึ่งเป็นท่านท้าวจตุคามอีกซีกหนึ่งเป็นท้าวรามเทพ ทั้งสองต้องไม่เหมือนกัน แต่พระองค์ท่านทรงใจดีมาก ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่าถ้าข้าพเจ้าอยากจะบูชาท่านก็ให้ไปเอารูปพระองค์ท่านมาบูชาได้เลย
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ก็ได้สืบเสาะหารูปที่เป็นภาพวาดดังกล่าวเพื่อนำมาพิมพ์และใส่กรอบรูปไว้กราบไหว้บูชาพระองค์ท่าน และก็เป็นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องทำการศึกษาค้นคว้าตามประสานักศึกษาปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างข้าพเจ้าที่พึงกระทำได้ แต่ก็ด้วยความยากลำบากมากเนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์มาก่อนเลย ข้าพเจ้านึกถึงอาจารย์ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะให้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าได้ในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเคยรู้จักกับท่านมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ได้ทราบว่าท่านได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้เองเนื่องจากเป็นลมและเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บุคคลท่านนี้ก็คือท่านอาจารย์จักรัช ธีระกุล จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชข้าพเจ้าไปศึกษางานของท่านที่กล่าวไว้เกี่ยวกับพระองค์ท่านจตุคามรามเทพ ท่านได้กล่าวไว้เป็นเรื่องเป็นราวทีเดียวสำหรับตำนานของท่านท้าวจตุคามรามเทพ เรื่องราวของท่านท้าวจตุคามรามเทพถ้าดูจากงานเขียนของ อาจารย์จักรัช ธีระกุล ท่านเขียนไว้ว่า
“ตรรกวิทยาของชาวชวากะ ที่เรียกว่า จตุคามศาสตร์ เชื่อกันว่า นางพญาจันทรา นางพญาพื้นเมือง ทะเลใต้ ราชินีผู้สูงศักดิ์ขององค์ราชันราตะ หรือ พระสุริยะเทพ ซึ่งรวบรวมดินแดนในคาบสมุทรทองคำเข้าเป็นจักรวรรดิเดียวกันในพุทธศตวรรษ ที่ 7 พระราชมารดาของเจ้าชายรามเทพ บรรลุธรรม สำเร็จตรรกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์บังคับคลื่นลมร้ายให้สงบได้ชาวทะเลทั้งหลายกราบไหว้รำลึกถึง เมื่อออกกลางทะเล เรียกกันว่า แม่ย่านาง ชาวศรีวิชัยให้ความเคารพนับถือเทิดทูน ฉายานามว่า เจ้าแม่อยู่หัว
เจ้าชายรามเทพได้ศึกษาเล่าเรียนวิชา จตุคามศาสตร์ จากพระราชมารดาจนเจนจบ แล้วทรงเรียนรู้หลักสัจธรรมทางพุทธศาสนาเลื่อมใสศรัทธานิกายมหายานอย่างแรงกล้า มุ่งหน้าสร้างบารมี หวังตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะประกาศธรรมให้มั่นคงทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ทรงอุตสาหะบากบั่นสร้างราชนาวีตามตรรกศาสตร์มหายาน ที่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมได้รวดเร็วและปลอดภัยบรรทุก กำลังพลและสัมภาระได้ มากมายมหาศาลเยือนถึงน่านน้ำใด หลักศาสนา ศิลปอารยะธรรมประดิษฐานมั่นคง ณ ดินแดนนั้น จนเหล่าราชครูต่างถวาย นามาภิไธยราชฐานันดร ว่า องค์ ราชันจตุคามรามเทพ
เมื่อพระศรีมหาราชชาวชวากะได้ประกาศสัจธรรมทั่ว สุวรรณทวีปแล้วจึงได้สร้าง มหาสถูป เจดีย์ขึ้นที่หาดทรายแก้วและในปลายพุทธศตวรรษที่ 8
องค์ราชันจตุคามรามเทพทรงมานะพยายามจนบรรลุธรรมจนบรรลุโพธิญาณ จักรวาลพรหมโพธิสัตว์ ประกอบด้วย บุญฤทธิ์ อิทธิฤทธ อภินิหาร สยบฟ้า สยบดินได้ตามปรารถนา วาจาเป็นประกาศิตเหนือมวลชีวิตทั้งหลาย ทรงศักดานุภาพเหมือน ดังพระอาทิตย์และ พระจันทร์ สมญานามตาม ศาสตร์จันทรภาณุ สาปแช่งศัตรูผู้ใดจะถึงกาลวินาศ จนเลื่องลือไปทั่วทวีป ได้รับการถวายนามยกย่องว่า พญาพังพกาฬ การประกาศชัยชนะที่เด็ดขาดเหนือสุวรรณทวีปและหมู่เกาะทะเลใต้นี้เปรียบได้กับมหาราชในชมภูทวีป
ดังนั้น พญาโหราบรมครูช่างชาวชวากะ ได้จำลองรูปมหาบุรุษเป็น อนุสรณ์ ตามอุดมคติศิลปศาสตร์ศรีวิชัย เรียกว่า ร่างแปลงธรรม รูปสมมุติแห่ง เทวราชที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกมนุษย์ ทรงเครื่องราชขัติยาภรณ์ สี่กร สองเศียร พรั่งพร้อมด้วยเทพศาสตราวุธ เพื่อปกป้องอาณาจักรและพุทธจักร เพื่อเป็นคติธรรมและศิลปะกรรม ประดิษฐานในทุกหนแห่งในอาณาจักรทะเลใต้ ลูกหลานราชวงศ์ไศเลนทร์ในชั้นหลังได้ถ่ายทอดศิลปะศาสตร์แปลงร่างธรรมเป็น นารายณ์บรรทมสินธุ์บ้าง อวตารปราบอสูรบ้าง ตามค่านิยมของท้องถิ่น” (จักรรัช ธีระกุล, วัตถุมงคลหลักเมือง นครศรี, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช.)
จากการศึกษาของอาจารย์จักรัช ธีระกุล ก็จะเห็นว่าท่านกล่าวถึงองค์จตุคามรามเทพ เป็นเพียงพระองค์เดียว ที่มีที่มาเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียวว่าองค์ท้าวจตุคามรามเทพก็คือชื่อในสมัยต่อมาของ เจ้าชายรามเทพ ผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้า และบรรลุวิชา จตุคามศาสตร์ ซึ่งน่าจะเป็นศาสตร์ดั้งเดิมของคนที่อาศัยอยู่ในทางดินแดนปักษ์ใต้ของไทยเมื่อครั้งสมัยโบราณนั่นเอง เนื่องจากพระมารดาของเจ้าชายรามเทพนั้นเดิมก็เป็นสามัญชนที่ถูกยกย่องว่ามีวิชาที่เก่งกล้า ได้รับการขนานนามว่า นางพญา และพระนางก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชินีของกษัตริย์ราตะแห่งอาณาจักรทะเลใต้ คำที่ได้จากเรื่องที่อาจารย์จักรัช ได้บอกเอาไว้นั้นมีคำที่เกี่ยวข้องกับประวัติของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพหลายคำเหมือนกันเช่น จันทรภาณุ ซึ่งคำนี้ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ท่านท้าวจตุคามรามเทพทรงเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถสาปแช่งศัตรูผู้ใดจะถึงกาลวินาศได้ จนเป็นที่มาของอีกคำหนึ่งจากเหตุดังกล่าวนี้ที่มีคนขนานนาม พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพว่า พญาพังพกาฬ และชื่ออีกชื่อหนึ่งของพระองค์ท่านก็คือ องค์ราชันต์จตุคามรามเทพ
เรื่องที่ท่านอาจารย์ได้เขียนเอาไว้ก็เป็นที่กังขากับข้าพเจ้ามาก เพราะว่าจากกรณีที่ภรรยาข้าพเจ้ากล่าวไว้ก็บอกว่าพระองค์ท่านมีสองพระองค์ และที่ทางขึ้นพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชก็มีสองพระองค์จริง ๆ และมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่ถ้าดูตามลักษณะของการนำมาประดิษฐานเอาไว้ตรงทางขึ้นบันใด ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าถ้ามีเพียงพระองค์เดียวก็สามารถทำเป็นสองพระองค์ได้เพื่อนำมาวางไว้ตรงทางขึ้นบันใด เพราะปกติการนำยักษ์หรือทำเป็นรูปปั้นอื่น ๆ บริเวณบันใดทางขึ้นที่ต่าง ๆ ก็มักจะทำเป็นสองรูปสององค์หรือสองตนเหมือนกัน แต่ก็แปลกตรงที่ลักษณะก็ต่างกันด้วย และที่เขียนไว้ก็เขียนไว้ว่า “เท้าขัตตุคาม” และอีกพระองค์หนึ่งก็เป็น “เท้ารามเทพ” ลักษณะของ เท้าขัตตุคามนั้นจะมีลักษณะนั่งแบบตั้งอกตั้งใจ ขึงขังเอาจริงเอาจังกับภารกิจของพระองค์ท่าน จะนั่งยกเข่าขึ้นแต่ขึ้นไม่เต็มที่เหมือนท่าเตรียมพร้อม และขาอีกข้างหนึ่งก็พับไปด้านหลังแบบตรง ๆ เหมือนพร้อมที่จะลุกหรือพร้อมที่จะทำงานได้ตลอดเวลา ส่วนเท้ารามเทพ พระองค์ทรงประทับนั่งอย่างสบายสบายมากกว่า ชันเข่าด้านหนึ่งขึ้นเต็มที่ ขาที่พับอีกด้านหนึ่งก็พับไปทางด้านข้างอย่างเต็มที่มากกว่าท่านเท้าขัตตุคาม เมื่อพิจารณาดูจากกริยาท่าทางของรูปปั้นของทั้งสองพระองค์ก็มีความแตกต่างกันพอสมควร ก็มีความเป็นไปได้ว่ารูปปั้นทั้งสองนั้นเป็นคนละพระองค์กัน
คำที่อาจจะเปลี่ยนมาจากขัตตุคามเป็น จตุคาม คงอธิบายได้อย่างไม่ยากนักเพราะการออกเสียงว่าขัตตุคาม และจตุคาม นั้นคำหลังสามารถที่จะออกเสียงได้ง่ายกว่ากันเยอะ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปคำที่ใช้เรียกก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่น่าจะมีปัญหาใดระหว่างคำว่า ขัตตุคามและคำว่าจตุคาม มีคนกล่าวถึงคำและที่มาของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ไว้น่าสนใจดังนี้
“คำว่า ขัตตุคาม ตรงนี้มีผู้รู้หลายท่านให้ความเห็นว่า ขัตตุ น่าจะมาจาก ขัตติยะ (กษัตริย์) ซึ่งก็เป็นไปได้ การออกชื่อของคน ว่า ขัด-ตุ-คาม ออกจะไม่ไพเราะ โดนเฉพาะ คนท้องถิ่น ก็เลยหาทางออกเสียงที่ไพเราะมากขึ้น เป็น จะ-ตุ-คาม แต่ก็มีบางความเชื่อที่เขียนเป็น จัตตุคาม เลยก็มี และการออกเสียง จัด-ตุ- คาม ก็ไม่ไพเราะเท่า จะ-ตุ-คาม เพราะ จตุคาม ดูจะออกเสียงได้เข็มแข็งมากกว่าสมกับที่พระองค์ท่านทรงเป็นกษัตริย์
ส่วนที่เรียกกันว่า พระโพธิสัตย์ทะเลใต้ หรือองค์ราชันย์ดำแห่งทะเลใต้ ก็เพราะ ยึดที่ว่า ท่านทรงเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ที่ติดฝั่งทะเลใต้ จึงนำมาเรียกชื่อท่าน บวกกับความเชื่อที่ท่านดำรงสถานะเป็น พระโพธิสัตย์ ( หลังความตาย ) หรือ องค์กษัตริย์ ( ก่อนความตาย ) และคาดว่าท่านเป็นผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นในแถบทะเลใต้ จึงน่าจะมี ผิวกายสีเข้ม ก็เลยน่าจะเป็นที่มาของคำว่า ดำ มีความเชื่อหนึ่งว่า ท่านคือ พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรศรีวิชัยที่สามารถไปตีเอาอาณาจักรต่าง ๆ รอบ ๆ ทะเลใต้ได้ แต่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สองแหล่ง แหล่งแรก ท่านแรก ( พระเจ้าจันทรภาณุ ) สามารถตีไปที่อินเดียได้ ซึ่งยิ่งใหญ่จริง และไม่กลับมา ไปเป็นมหาราชที่อินเดียเลย ดังนั้นคงยากที่จะเป็นพระองค์นี้ และอีกพระองค์ ยกทัพเรือไปตีศรีลังกาสองครั้ง ครั้งสุดท้ายแพ้และตายที่ศรีลังกา ก็ไม่ยิ่งใหญ่จริง ดังนั้นคงไม่ใช่พระองค์นี้ เลยไม่รู้ว่าพระองค์ไหนในประวัติศาสตร์ แต่ตรงนี้ทำให้สรุปได้ว่า พระเจ้าจันทรภาณุ น่าจะเป็นพระนามที่ใช้เรียก ตำแหน่งกษัตริย์ (บางท่านบอกว่าเป็นตำแหน่งอุปราช ) ดังนั้นจึงมีหลายพระองค์ แต่ไม่รู้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ( หากจะเชื่อว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ คือพระเจ้าจันทรภาณุ )
สายหนึ่งที่เชื่อว่า หลักฐานประวัติศาสตร์ของพระเจ้าจันทรภาณุองค์แรกที่ไปครองอินเดีย ก็บอกว่า ท่านมีลูกสองคน คือ ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ เมื่อพระเจ้าจันทรภาณุไม่กลับบ้าน ลูกทั้งสองก็ช่วยกันครองเมืองต่อ เมื่อตายไป ชาวเมืองก็ยกให้เป็นเทวดารักษาเมือง ซึ่งสรุปได้ 3 ข้อคือ
๑ พระเจ้าจันทรภาณุ ไม่ใช่ ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ เป็นพระราชบิดาและบุตร
๒ ท้าวทั้งสอง ( บุตร ) เป็นเทวดารักษาเมือง
๓ ไม่พูดถึงพระโพธิสัตย์เลย
อีกหลายสาย ที่ยกสถานะ พระเจ้าจันทรภาณุ ( ซึ่งไม่ทราบว่า พระองค์ไหน ) เป็น พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ แต่ส่วนมากไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ก็เลยมีความเชื่อว่าบางครั้ง ให้ท่านดำรงสถานะเป็นพระโพธิสัตย์ ( พระเจ้าจันทรภาณุ ) บางครั้งเป็นเทวดารักษาเมือง ( ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ ) คือ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ เป็นทั้ง พระเจ้าจันทรภาณุ ก็ได้ เป็น ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า จะเรียกชื่อไหนขึ้นมา และยังโยงมาอีกชื่อหนึ่งคือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช ว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ดำรงตำแหน่งนี้ด้วย เหมือนที่บอกว่า ตอนเป็นอุปราช มีตำแหน่ง พระเจ้าจันทรภาณุ เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ มีตำแหน่งเป็น พระเจ้าศรีธรรมโศกราช สถานะของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ
แบบที่ ๑ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ เป็นผู้รักษาพระธาตุ ( หลักเมืองในสมัยโบราณ ) มีหลักฐานคือ รูปปั้น ที่เชิงบันไดพระบรมธาตุ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ ท่านจะดำรงสถานะเป็นเทวดารักษาเมืองเหมือนพระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหอกลอง เป็นต้น
แบบที่ ๒ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ดำรงสถานะเป็นพระโพธิสัตย์ ขณะนี้ ผมยังไม่พบว่ามีหลักฐานแสดงสถานะนี้ หากท่านอื่นมีหลักฐาน ก็นำมาแบ่งปันกันนะครับ แต่เป็นความเชื่อของผู้ที่เคารพสักการะพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ทุกท่านก็ว่าได้
พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ คือ เทวดารักษาพระบรมธาตุ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิตอยู่ที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ และสร้างศาลหลักเมืองของจังหวัด จึงมีการทำพิธีอัญเชิญองค์พ่อฯ ไปสถิตที่ศาลหลักเมืองตั้งแต่นั้นมา”
กีฏะ อนุราธ ก็เขียนไว้น่าสนใจทีเดียวถึงเรื่องของการรวมเทพระหว่างพระพรหมกับพระนารายณ์ให้อยู่ในชื่อชื่อเดียวว่า จตุคามรามเทพ ซึ่ง กีฏะ อนุราธ ได้เขียนถึงเรื่องนี้ว่า
“ถ้าหากพิจารณาดูด้านเทวรูปของ “จตุคาม” แล้ว จะเห็นว่าบานประตูด้านนั้นสลักเป็นรูปพระพรหมสี่หน้าอยู่บนบานประตู ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเทวรูปของ “รามเทพ” นั้น บานประตูสลักเป็นรูปพระนารายณ์ เมื่อนำคำเรียกขานของ จตุคาม รามเทพ มาพิจารณาดู ก็พบว่า คำว่า “จตุ” หมายถึง สี่ , “คาม” หมายถึง บ้าน เมื่อรวมคำว่าจตุคาม หรือสี่บ้าน ก็มีความหมายเปรียบได้กับพระพรหมซึ่งมี ๔ หน้า ส่วนคำว่า “รามเทพ” เป็นคำเรียกขานของพระนารายณ์พระนามหนึ่ง ในสมัยที่อวตารลงมาเกิดเป็นพระรามเพื่อต่อสู้กับทศกัณฑ์ จึงมีความหมายถึงพระนารายณ์โดยตรง การนำเทพทั้ง ๒ องค์มาจำหลักอยู่บนบานประตูนี้ จึงเป็นการบอกความนัยถึงองค์เทพที่ถูกอัญเชิญลงมาคุ้มครองรักษาพระบรมธาตุ และเมืองนครฯ ซึ่งผู้คนในยุคสมัยนั้นทราบกันดีว่าเป็นเทพองค์ใด มิฉะนั้นแล้ว ทำไมไม่สลักเป็นเทพหรือเทวดาองค์อื่น ๆ และทำไมไม่สลักให้เหมือนกันทั้งสองบานเช่นเดียวกับรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นเป็นคู่ ๆ ในลักษณะที่เหมือนกัน สิ่งที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งคือ ผมไม่เคยพบว่าบานประตูตามวัดหรือโบสถ์ในประเทศไทยแห่งใด มีการแกะสลักเป็นเทพทั้งสององค์นี้เลย นอกจากเป็นเทวดาหรือลวดลายอื่น ๆ และก็จะแกะสลักเหมือนกันทั้งสองบานอีกด้วย บริเวณรอบพระบรมธาตุภายในวิหารยังมีรูปปั้นติดฝาผนังเป็นรูปพระพรหมกับพระนารายณ์จับมือของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวาด้วย แสดงถึงความเชื่อของคนในยุคนั้นว่า เทพทั้งสององค์นี้คอยคุ้มครองรักษาและค้ำจุนพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา
ผมขอย้อนกลับไปถึงในสมัยของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้น กษัตริย์ถูกยกย่องเป็นสมมติเทพ คือ พระศิวะ การอัญเชิญเทพที่สำคัญเพื่อลงมาคุ้มครองรักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของอาณาจักรย่อมจะเป็นเทพชั้นสูง และเทพเจ้าที่สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ก็มีเพียง ๓ องค์เท่านั้น คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม พระศิวะก็ถือว่าคือกษัตริย์อยู่แล้ว เทพที่สำคัญรองลงมาก็คือ พระพรหมและพระนารายณ์ จึงไม่น่าแปลกที่จะอัญเชิญเทพทั้งสององค์นี้ ลงมาเพื่อคุ้มครองรักษาบ้านเมืองและพระบรมธาตุ แต่ทำไมคำเรียกขานจึงเป็น จตุคาม รามเทพ ผมสันนิษฐานว่า ในสมัยนั้นก็มีการนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกายแพร่หลายเข้ามาสู่ชุมชนเมืองตามพรลิงค์ด้วย น่าจะมีการเข้ามาประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เมื่อมีการบูชาพระศิวะเป็นใหญ่ฝ่ายหนึ่ง และมีการบูชาพระนารายณ์เป็นใหญ่อีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมไม่พ้นที่จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้น ในประเทศอินเดียยังมีลัทธิที่บูชาพระพรหมเป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่นอีกด้วย เมื่อการขัดแย้งมีสูงมากขึ้น จึงเกิดลัทธิใหม่ที่รวบรวมเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์เข้าด้วยกันเป็นองค์เดียว แล้วเรียกขานใหม่ว่า “ตรีมูรติ” ในกรณีของลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย ก็ก่อให้เกิดเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นด้วยเช่นกันคือ “พระหริหระ” ซึ่งเป็นการรวมกันของพระนารายณ์ คือ พระหริ และพระศิวะ คือ พระหระ ในแนวความคิดเดียวกัน “จตุคาม รามเทพ” อาจเป็นคำเรียกขานจากการรวมกันของเทพเจ้าสององค์ คือ พระพรหมและพระนารายณ์ก็ได้ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ “ตรีมูรติ” และ “พระหริหระ” เพื่อก่อกำเนิดเป็นเทพองค์ใหม่ขึ้น ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า”
จะเห็นว่าผู้คนมีความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพที่แตกต่างกันไปมากมายเหมือนกัน ซึ่งก็ต่างกับที่อาจารย์จักรัชได้เขียนไว้ที่ข้าพเจ้าหยิบยกมาก่อนหน้านี้มากทีเดียว นอกจากนี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อว่า
“ก่อนจะมาเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุนั้น องค์พ่อจตุคามรามเทพเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยศรีวิชัย ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ และในอีกชาติภพหนึ่งองค์พ่อฯ เป็นกษัตริย์ที่มีนามว่า พญาศรีธรรมโศกราช การที่พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ถูกขนานนามว่า ราชันดำแห่งทะเลใต้ เพราะอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ติดทะเลชวา และพระวรกายของพระองค์มีสีเข้ม
นอกจากจะเป็นกษัตริย์แล้ว ในอีกชาติภพหนึ่งพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ยังเป็นนักรบที่แกร่งกล้าสามารถ รบไม่เคยแพ้ผู้ใด นามว่า พังพกาฬ (พัง-พะ-กาน)
มีความเชื่อว่าพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ทรงบำเพ็ญตน สร้างบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มวลมนุษย์
ส่วนคำว่าสุริยัน จันทรา นั้นเป็นตัวแทนของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ส่วนดวงตราพญาราหู ดวงตราสองแผ่นดินศรีวิชัย สุวรรณภูมิ และ 12 นักษัตร เป็นรูปแบบของดวงตราอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจตุคามศาสตร์ ซึ่งทรงฤทธิ์ธานุภาพในทุก ๆ ด้าน”
ก็เป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันมามีผู้นำมาปะติดปะต่อกันไปต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้ายิ่งค้นคว้าก็ยิ่งได้ทราบในหลาย ๆ ความเชื่อเกี่ยวกับ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ มากขึ้นแต่เมื่อไปดูคำทีมีอยู่ใน บทสรรเสริญ บูชาเทวสถาน ฉบับ วัดคอหงษ์ หาดใหญ่ ซึ่งมีอยู่ดังนี้
“องค์พ่อจตุคาม เหนือฟ้าบาดาล เหนือกรุงสองทะเล พ่อองค์สถิตหล้า เจ้ากรุงธรรมโศก รามเทพเกรียงไกร อยู่คู่ฟ้าไทย อมตะนิรันต์กาล จตุนาคา รามเทพเทพไทย บารมีปกเกล้า เหนือฟ้า เหนือดิน สาธุรามา”
จากบทสรรเสริญบูชาเทวสถาน พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ฉบับวัดคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็พบว่าในบทสรรเสริญก็มี แต่เพียงองค์พ่อจตุคามในตอนแรก ว่าทรงเป็นเจ้าแห่งกรุงธรรมโศก ก็น่าจะเป็นเมืองศรีธรรมโศกราช แต่คำว่ารามเทพ ที่อยู่ในบทต่อท้ายหลังนั้นก็น่าจะเป็นชื่อของท่านพระองค์ท่านท้าวจตุคาม ที่บอกว่าพระองค์ท่านเป็นเทพที่มีศิริโสมงดงาม น่าจะเป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกแทน พระองค์ท่านท้าวจตุคาม ว่าเป็นองค์รามเทพอะไรทำนองนั้นมากกว่า แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันมากว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ จะเป็นพระองค์เดียวหรือสองพระองค์ อีกสองพระองค์ที่ถูกกงล่าวถึงอย่างมากมายในการศึกษาประวัติของ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ก็คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และ พระเจ้าจันทรภาณุ ว่าเป็นพระองค์เดียวกันหรือไม่ หรือเป็นราชศักดิ์หรือไม่อย่างไร เพราะจากเนื้อหาทางความเชื่อของผู้คนและประวัติศาสตร์ก็กล่าวกันไปคนละทิศคนละทางพอสมควร แต่มีประวัติศาสตร์ที่จารึกเอาไว้เกี่ยวกับ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าจันทรภาณุ ซึ่งเป็นตำนานที่เกี่ยวกับประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุไว้ ดังนี้
“ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวถึงประเพณีนี้ไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๓ ซึ่งเป็นสมัยที่พระเจ้าสามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระเจ้าจันทรภาณุ และพระเจ้าพงษาสุระ กำลังดำเนินการสมโภชพระธาตุเจดีย์อยู่นั้น คลื่นได้ซัดผ้าแถบใหญ่ยาวผืนหนึ่ง ซึ่งมีลายเขียนเรื่องพุทธประวัติ (เรียกว่า ผ้าพระบฏ) ขึ้นที่ชาดหาดปากพนัง ก่อนที่จะถึงวันสมโภชพระบรมธาตุไม่นาน ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นไปถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชรับสั่งให้ซักผ้าพระบฏจะสะอาด แต่ลายเขียนพระพุทธประวัติก็ไม่ลบเลือน ยังคงสมบูรณ์ดีทุกประการ จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความว่าชาวพุทธกลุ่มหนึ่งจำนวน ๑๐๐ คนจากเมืองหงสาวดี มีผขาวอริยพงษ์เป็นหัวหน้าจะเดินทางไปลังกาเพื่อนำผ้าพระบฏนี้ไปบูชาพระพุทธบาทในลังกา แต่เรือโดนพายุที่ชายฝั่งเมืองนคร มีคนรอดชีวิต ๑๐ คน รวมทั้งหัวหน้า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงพิจารณาเห็นว่าผ้าพระบฏนี้ควรจะนำขึ้นไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์แทน เจ้าของผ้าพระบฏซึ่งรอดชีวิตก็ยินดีและอนุโมทนา แต่นั้นมาการแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงเป็นประเพณีประจำเมืองนครศรีธรรมราชสืบมาจนทุกวันนี้”
ซึ่งถ้าดูจากประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้นี้ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าจันทรภาณุ ก็เป็นคนละคนกัน และถูกเรียกรวมกันว่าพระเจ้าสามพี่น้องด้วย ความเข้าใจเรื่องของ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ มีอะไรที่น่าติดตามศึกษาอีกมากมายทีเดียว ความเกี่ยวข้องกันของ พระเจ้าจันทรภาณุ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช และพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ เป็นเรื่องที่ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อศึกษามาถึงเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ทราบถึงประวัติของการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ข้าพเจ้าก็ต้องขนลุกซู่ เพราะภรรยาของข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าหลายครั้งว่า ให้พาภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งพูดเป็นภาษาที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่องแต่ภรรยาของข้าพเจ้าก็พูดออกมาเป็นภาษาไทยว่าให้พาไปที่วัดพระธาตุในวันหนึ่งให้ได้ แล้วข้าพเจ้าก็จะทราบถึงเรื่องราวของ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าพาภรรยาของข้าพเจ้าไปทีวัดพระมหาธาตุ เนื่องจากข้าพเจ้ากลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับ ภรรยาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็เพิ่งมาทราบภายหลังว่าวันดังกล่าวที่ภรรยาของข้าพเจ้าพยายามบอกกับข้าพเจ้าให้พาไปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตรงกับวันที่มีการแห่ผ้าขึ้นธาตุพอดี ข้าพเจ้าจึงมีความเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ จะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างแน่นอน และเกี่ยวข้องกับประเพณีของการแห่ผ้าขึ้นธาตุด้วย แต่ก็เป็นความเชื่อของข้าพเจ้าที่มีเหตุผลทั้งจากประวัติศาสตร์และจากการสื่อของภรรยาข้าพเจ้ากับ พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ซึ่งบรรยายมาเป็นตัวอักษรที่ค่อนข้างลำบากมากทีเดียว สำหรับข้าพเจ้านั้นทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านออกเสียงเรื่องราวประวัติพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ที่ท่านอาจารย์จักรัช ธีระกุล เขียนเอาไว้ ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกและมีความรู้สึกประหลาดอย่างมาก จนไม่สามารถอ่านออกเสียงให้จนจบได้เลย ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงเรื่องราวสั้น ๆ ส่วนเรื่องที่เป็นความเชื่ออื่น ๆ ข้าพเจ้าสามารถอ่านได้โดยไม่มีความรู้สึกประหลาดใด ๆ เกิดขึ้น ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมากขึ้นว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ มีจริง และเป็นเพียงพระองค์เดียวโดยพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ เคยเป็นเจ้าชายรามเทพมากขึ้นทุกที และยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกของข้าพเจ้าเท่านั้นไม่มีอะไรมายืนยันได้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ คงต้องทำการค้นคว้ากันต่อไป

21 สิงหาคม 2552

สูตรลดน้ำหนักพระราชทานสมเด็กพระเทพฯ 7วัน 9โล

สูตรพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ
ลดน้ำหนัก 9 กก. ภายใน 1 สัปดาห์ ( หนังจาก 7 วัน ทานได้ตามปกติน้ำหนักไม่ขึ้น หากทำตามสูตรและทานน้ำเปล่าเยอะๆ ) ก่อนการเริ่มปฏิบัติสูตรนี้ ก่อนอ่าหารต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว งดน้ำตาล น้ำมันหมู และของทอดทุกชนิด
วันที่

1.น้ำผลไม่คั้นหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย(เช้า) /ไข่ต้ม 2 ฟอง(เที่ยง) /สลัดผัก(เย็น)
2.น้ำผลไม้คั้นหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย(เด็ก) /ไข่ต้ม 2 ฟอง(เที่ยง) /โยเกิร์ต 1 ถ้วย(เย็น)
3.กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย(เช้า) / เกาเหลาลูกชิ้นหมู 1 ชาม ( หมู เนื้อ )(เที่ยง) /สับปะรด 1 ชิ้น(เย็น)

4.น้ำผลไม้คั้นหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลและขนมปัง 1 แผ่น(เช้า) /สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น(เที่ยง) /โยเกิร์ต 1 ถ้วย(เย็น)
5.กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วยหรือน้ำผลไม้คั้น(เช้า) /ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น(เที่ยง) /สลัดผัก(เที่ยง)
6.กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือน้ำผลไม้คั้น(เช้า) /ปลานึ่งหรือปลาเผาไม่จำกัด ( กินแต่เนื้อปลาอย่างเดียว )(เที่ยง) /นมสด 1 แก้ว ( นมจืด )(เย็น)
7.ข้าว 1 ทัพพีและเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง(เช้า) /เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม ( หมู เนื้อ )(เที่ยง) /สับปะรด 1 ชิ้น(เย็น)

หมายเหตุ อาหารชนิดนี้จะทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกันและพิสูจน์ได้ ( ผลงานวิจัยของหมอจุฬาฯ )
ข้อห้าม 1. ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอาหารอื่น
2. ห้ามใช้เครื่องปรุงอื่นใด นอกเหนือจากเกลือและพริกไทย


20 สิงหาคม 2552

กลุ่มคำ

ความหมายของกลุ่มคำ
กลุ่มคำ หมายถึงคำหลายๆ คำมารวมกัน ทำให้เกิดความหมายเป็นที่เข้าใจกันได้ กลุ่มคำจำแนกออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. กลุ่มคำที่นำคำมารวมกันแล้วได้ใจความบริบูรณ์ว่า ใครทำอะไร หรือใครทำอะไรใคร เช่น เด็กหัวเราะ เด็กเป็นผู้ทำ หัวเราะเป็นกริยา หรือสุนัขกัดไก่ สุนัขเป็นผู้ทำ กัดเป็นกริยา ไก่เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นต้น กลุ่มคำเช่นนี้เรียกว่า ประโยค
๒. กลุ่มคำที่นำมาเรียงกันแล้วได้ใจความยังไม่บริบูรณ์เหมือนประโยค ยังขาดผู้ทำหรือขาดกริยาก็ได้ เช่น ร้องไห้จนเสียงแห้ง กลุ่มคำนี้ไม่มีผู้ทำ นายแดงลูกนายดำ กลุ่มคำนี้ไม่มีส่วนกริยา กลุ่มคำเช่นนี้เรียกว่า วลี

ชนิดของวลี
กลุ่มคำที่เป็นวลีมีหลายชนิด แล้วแต่คำนำหน้ากลุ่ม มีดังต่อไปนี้
๑. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำนาม จะทำหน้าที่เหมือนคำนาม เรียกว่า “นามวลี” เช่น เด็กหลายคน นกขุนทองในกรง
๒. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำสรรพนา จะทำหน้าที่เหมือนคำสรรพนาม เรียกว่า “สรรพนามวลี” เช่น ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ท่านผู้ฟัง
๓. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำกริยา จะทำหน้าที่เหมือนคำกริยา เรียกว่า “กริยาวลี” เช่น หัวเราะระรื่น เดินจ้ำเอาๆ กินมูมมาม
๔. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำวิเศษณ์ จะทำหน้าที่เหมือนวิเศษณ์ เรียกว่า “วิเศษณ์วลี” เช่น สวยอะไรเช่นนั้น หอมชื่นใจ
๕. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำบุพบท จะทำหน้าที่เหมือนบุพบท เรียกว่า “บุพบทวลี” เช่น บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ ด้วยความเอาใจใส่
๖. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำสันธาน จะทำหน้าที่เหมือนคำสันธาน เรียกว่า “สันธานวลี”เช่น ถึงอย่างไรก็ดี และอื่นๆ อีกมาก
๗. กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำอุทาน จะทำหน้าที่เหมือนคำอุทาน เรียกว่า “อุทานวลี” เช่น ว้าย! คุณพระ พุทโธ่! พุทถังเอ๊ย

มะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม (Breast cancer) เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย โดยพบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถพบได้ 1 ใน 10 ของผู้หญิง มะเร็งเต้านมนั้นสามารถพบได้ในผู้ชายเช่นกัน แต่พบในอัตราที่น้อยมาก

ปัจจัยเสี่ยง
ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม โดยพบบ่อยในหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ รวมทั้ง ผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม ก็มีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติด้วย
ผู้ที่มีบุตรหลังอายุ 30 ปี รวมทั้ง หญิงที่ไม่เคยมีบุตร จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น
การกลายพันธุ์ของยีน เช่น การเกิดการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 สามารถทำให้เกิดมะเร็งเต้านม และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
ผู้หญิงที่มีเต้านมเต่งตึงกว่าอายุ เช่น หญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และมีความหนาแน่นของเต้านมมากกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือ ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้ง่ายกว่าคนปกติ
ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง รวมทั้ง ผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น การสูบบุหรี่ทำให้เพิ่มโอกาสในการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น

อาการเริ่มต้นที่อาจจะเป็นมะเร็ง
อาการเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม
มะเร็งระยะเริ่มต้นนั้นมักจะไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจจะตรวจพบความผิดปกติเกิดขึ้นที่เต้านม ซึ่งอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเต้านม ดังนี้
มีก้อนที่เต้านม (ร้อยละ 15-20 ของก้อนที่คลำได้ บริเวณเต้านมเป็นมะเร็งเต้านม
มีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่างของเต้านม
ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ บางส่วนมีสะเก็ด
หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ
มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม ( ร้อยละ 20 ของการมีเลือดออกจะเป็นมะเร็ง)
เจ็บเต้านม ( มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ไม่เจ็บ นอกจากก้อนโตมากแล้ว )
การบวมของรักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต

การตรวจเต้านมตนเอง
การตรวจมะเร็งเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น พบว่าร้อยละ 80 ของเนื้องอกที่เต้านมผู้หญิงนั้นถูกตรวจพบครั้งแรกด้วยตนเอง การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรทำทุกเดือนตั้งแต่วัยสาวถึงวัยสูงอายุ เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการตรวจ คือ หลังหมดระดูแล้ว 7-10 วัน เพราะเป็นช่วงที่เต้านมไม่คัดตึงทำให้ตรวจได้ง่ายสำหรับผู้หญิงที่หมดระดูหรือได้รับการตัดมดลูก จะเป็นการดีถ้าได้ทำการตรวจเต้านมตนเองทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือน

วิธีการตรวจ 3 ท่า
ทุกท่าจะต้องบิดลำตัวไปทั้งทางซ้ายและขวาสังเกตรูปร่าง ลักษณะ ความผิดปกติของผิวหนังรอยบุ๋ม รอยนูนของเต้านมหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ของเต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยมีท่า ดังนี้
ยืนหน้ากระจก
ปล่อยแขนข้างลำตัวตามสบาย
ยกแขนทั้ง 2 ข้างเหนือศีรษะ
ท้าวเอว เกร็งอกเพื่อให้ผนังทรวงอกกระชับขึ้น
โค้งตัวมาข้างหน้าใช้มือทั้ง 2 ข้างท้าวเอว
นอนราบ
นอนให้สบาย ตรวจเต้านมขวาให้สอดหมอนหรือม้วนผ้าใต้ไหล่ขวา
ยกแขนขวาเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบซึ่งจะทำให้คลำง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอกมีเนื้อหนามากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งบ่อยที่สุด
ใช้กึ่งกลางตอนบนของนิ้วมือซ้าย ( นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ) คลำทั่วเต้านมและรักแร้ ที่สำคัญคือห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งความจริงไม่ใช่ และทำวิธีเดียวกันนี้กับเต้านมด้านซ้าย
ขณะอาบน้ำ
สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็กให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างคลำไปทิศทางเดียวกับที่ใช้ในท่านอน
สำหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้นิ้วมือข้างนั้นประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้ตรวจคลำเต้านมด้านบน

ระยะของมะเร็งเต้านม
ระยะ 0 เป็นระยะเริ่มต้นของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อเต้านม
ระยะ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หรือไม่ก็ได้ หรือมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และรุกรามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้ว

การดูแลเต้านม
อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคือ 3 ถึง 10 วัน นับจากประจำเดือนหมด ส่วนสตรีที่หมดประจำเดือนให้กำหนดวันที่จดจำง่ายและตรวจในวันเดียวกันของทุกเดือน
สำหรับผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
หากพบสิ่งผิดปกติบริเวณเต้านม หรือรักแร้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีที่พบ

การดูแลเต้านมตนเองโดยทั่วไป
ควรตรวจเต้านนมตนเอง หากท่านตรวจแล้วไม่มั่นใจ ให้ขอรับคำปรึกษาที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้านท่าน

โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease:CAD or Atherosclerotic Heart Disease) หมายถึงโรคหัวใจที่เกิดจากการตีบและแข็งตัวของหลอดเลือดแดงโคโรนารี (coronary artery) ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่กล้ามเนื้อหัวใจลดลงหรือชะงักไป
เมื่อผู้ป่วยมีภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้นเช่น การออกกำลังกายมากๆ การมีอารมณ์โกรธหรือจิตใจเครียด เป็นต้น ก็จะทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราวโดยที่ยังไม่มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจเกิดขึ้น เราเรียกอาการดังกล่าวว่า โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ หรือ แองจินา (Angina/Angina pectoris)
แต่ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจมีการตายเกิดขึ้นบางส่วน เนื่องจากหลอดเลือดโคโรนารีเกิดการอุดตัน เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้เลย ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ซึ่งมักจะมีภาวะช็อกและหัวใจวายรวมอยู่ด้วย เราเรียกว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction: MI)
โรคนี้มักจะพบได้มากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะมีอาการเริ่มแรกเมื่ออายุมากกว่า40ปีขึ้นไป มักไม่พบในผู้ชายอายุต่ำกว่า30ปี หรือผู้หญิงอายุต่ำกว่า40ปีที่ไม่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คนที่อยู่ดีกินดี คนที่มีอาชีพทำงานนั่งโต๊ะและคนในเมืองมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนยากจน คนที่มีอาชีพใช้แรงงานและชาวชนบท

สาเหตุ
เกิดจากมีการตีบตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (หลอดเลือดโคโรนารี) ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ มักเป็นผลมาจากผนังของหลอดเลือดแข็งเนื่องจากมีไขมันเกาะ ดังที่เรียกว่า อะเทอโรสเคลอโรซิส (Atherosclerosis) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การสูบบุหรี่จัด การขาดการออกกำลังกาย, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคเกาต์, การกินยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

อาการ
ในรายที่เป็นโรคแองจินา (หัวใจขาดขาดเลือดชั่วขณะ) จะมีอาการเจ็บหรือจุกแน่นที่ตรงกลางหน้าอกหรือยอดอกซึ่งมักจะเจ็บร้าวมาที่ไหล่ซ้าย ด้านในของแขนซ้าย บางคนอาจร้าวมาที่คอ ขากรรไกร หลัง หรือแขนขวา บางคนอาจรู้สึกจุกแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาการอาหารไม่ย่อยหรือท้องอืดท้องเฟ้อ ผู้ป่วยมักมีอาการเวลาออกแรงมาก ๆ เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นที่สูง ออกกำลังแรง ๆ ทำงานหนัก ๆ แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน มีอารมณ์โกรธ ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ หรือจิตใจเคร่งเครียด ขณะร่วมเพศ หลังกินข้าวอิ่มจัด หรือเวลาถูกอากาศเย็น ๆ
ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง เป็นไข้ หรือหัวใจเต้นเร็ว (เช่น หลังกินกาแฟ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคคอพอกเป็นพิษ) ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคนี้ได้ อาการเจ็บหน้าอก มักจะเป็นอยู่นาน 2-3 นาที (มักไม่เกิน 10-15 นาที) แล้วหายไปเมื่อได้พักหรือหยุดกระทำสิ่งที่เป็นสาเหตุชักนำ หรือหลังจากได้อมยาขยายหลอดเลือด เช่น ไนโตรกลีเซอรีน นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการใจสั่น เหนื่อยหอบ เหงื่อออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนผู้ป่วยที่มีความรู้สึกเจ็บหน้าอกแปล็บ หรือรู้สึกเจ็บเวลาก้มหรือเอี้ยวตัว หรือรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลา (เวลาออกกำลังกายหรือทำอะไรเพลินแล้วหายเจ็บ) มักไม่ใช่โรคแองจินา
ในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะมีอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะเดียวกับโรคแองจินา แต่จะเจ็บรุนแรงและนาน แม้จะได้นอนพักก็ไม่ทุเลา ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ถ้าเป็นรุนแรง จะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีภาวะหัวใจวาย หรือเกิดภาวะช็อก คือเหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเต้นเบาและเร็ว ความดันเลือดตก หรือชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ผู้ป่วยบางคนอาจหมดสติ หรือเสียชีวิตในทันทีทันใด บางคนอาจมีประวัติว่า เคยมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ บางคนอาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอกมาก่อนเลยก็ได้

ข้อแนะนำ
1.โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง และอาจมีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ควรติดต่อรักษากับแพทย์เป็นประจำและควรพกยาประจำตัว
2.สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้ว ควรพักฟื้นที่บ้านอีกสักระยะหนึ่ง อย่าทำงานหนัก หรือทำกิจกรรมใดๆที่หนักเป็นเวลานาน4-5สัปดาห์ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้หลังมีอาการ8-12สัปดาห์หรือตามแพทย์แนะนำ แต่ห้ามงานที่ต้องใช้แรงมาก ผู้ป่วยควรป้องกันมิให้เกิดอาการกำเริบอีกโดยการกินยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำอย่าได้ขาด และปฏิบัติตัวตามข้อปฏิบัติตัว สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก ก็อาจมีโอกาสหายขาดและมีชีวิตยืนยาวเหมือนคนปกติได้ ส่วนในรายที่กำเริบใหม่ มักมีโรคแทรกซ้อนอยู่ก่อน หรือหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมีการตีบตันเป็นจำนวนมาก
3.ข้อปฏิบัติตัว จะมีส่วนช่วยรักษาให้มีชีวิตยืนยาวได้เท่าหรือเกือบเท่าคนปกติ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวดังนี้
I. เลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด
II. ถ้าอ้วน ควรหาทางลดน้ำหนัก
III. อย่ากินอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง โดยใช้น้ำมันจากพืชแทน (ยกเว้นกะทิและปาล์ม)
IV. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม และควรเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทางที่ดีควรขอคำแนะนากแพทย์เสียก่อนที่จะออกกำลังกายมากๆ การออกกำลังกายที่แนะนำให้ทำกัน ได้แก่ การเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
V. หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ เช่น อย่าทำงานหักโหมเกินไป, อย่ากินข้าวอิ่มเกินไป, ระวังอย่าให้ท้องผูก โดยการดื่มน้ำมากๆ กินผักผลไม้ให้มากๆ และควรกินยาระบายเวลาท้องผูก (ถ้าจำเป็น) , ควรงดดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน, หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นตกใจหรือการกระทบกระเทือนทางจิตใจ และทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ
4.โรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ไม่สูบบุหรี่, ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ, ระวังอย่าให้อ้วนและลดการกินอาหารที่มีไขมันสูง
ป้องกันโรคหัวใจ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ

โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง (อังกฤษ: Hypertension) เป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ในปี 1999 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140 /90 มม.ปรอทถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ การที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ
โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็น เมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต
ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
อายุ ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ขณะอายุ 18 ปี ความดันโลหิต เท่ากับ 120/70 มม.ปรอท แต่พออายุ 60 ปี ความดันโลหิต อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 140/90 แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัวว่าอายุมากขึ้นความดันโลหิตจะสูงขึ้นเสมอไป อาจวัดได้ 120/70 เท่าเดิมก็ได้
เวลา ความดันโลหิตจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่เท่ากันตลอดวัน ตัวอย่างเช่น ในตอนเช้าความดันซิสโตลิกอาจจะวัดได้ 130 มม.ปรอท ขณะที่ ตอนช่วงบ่ายอาจวัดได้ถึง 140 มม.ปรอท ขณะนอนหลับอาจวัดได้ต่ำถึง 100 มม.ปรอท เป็นต้น
จิตใจและอารมณ์ พบว่ามีผลต่อความดันโลหิตได้มาก ขณะที่ได้รับความเครียด อาจทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าปกติได้ถึง 30 มม.ปรอท ขณะที่พักผ่อนความดันโลหิตก็จะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ เมื่อรู้สึกเจ็บปวดก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้เช่นกัน
เพศ พบว่าเพศชายจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้บ่อยกว่าเพศหญิง
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่มีบิดาและมารดา เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติในครอบครัว สิ่งแวดล้อม ที่เคร่งเครียด ก็ทำให้มีแนวโน้มการเป็นโรคความดันสูงขึ้นด้วย
เช่นกัน
สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ที่อยู่ในสังคมเมืองจะพบภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าในสังคมชนบท
เชื้อชาติ พบว่าชาวแอฟริกันอเมริกันมีความดันโลหิตสูงมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว
ปริมาณเกลือที่รับประทาน ผู้ที่รับประทานเกลือมากจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อย ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นตอนเหนือรับประทานเกลือมากกว่า 27 กรัม/วัน มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงถึง 39% ส่วนชาวญี่ปุ่นตอนใต้รับประทานเกลือวันละ 17 กรัม/วัน เป็นมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพียง 21%

ระดับความรุนแรง
ระดับที่ 1 ความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรก ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 140-159/90-99 มม.ปรอท
ระดับที่ 2 ความดันโลหิตสูงระยะปานกลาง ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 160-179/100-109 มม.ปรอท
ระดับที่ 3 ความดันโลหิตสูงระยะรุนแรง ค่าความดันโลหิต มากกว่า 180/110 มม.ปรอท
การวัดความดันโลหิตควรจะวัดขณะนอนพัก ควรวัดซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นความดันโลหิตสูงจริงๆ

อาการของผู้ป่วย
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลย หรืออาจจะพบว่ามีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ และเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ
ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 กรณีด้วยกันคือ
กรณีที่ 1 ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง ได้แก่ภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดในสมองแตก
กรณีที่ 2 ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดแดงตีบหรือตัน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลอดเลือดสมองตีบ เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือหลอดเลือดแดงในไตตีบมากถึงขั้นไตวายเรื้อรังได้
จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุไว้ว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตจากหัวใจวายถึง 60-75 % , เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองอุดตัดหรือแตก 20-30 % และเสียชีวิตจากไตวายเรื้อรัง 5-10 %

ภาวะแทรกซ้อน
หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้ผนังหัวใจหนาตัวและถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ผนังหัวใจจะยืดออกและเสียหน้าที่ ทำให้เกิดหัวใจโต และหัวใจวายได้ในที่สุด
อาจเกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ทำใหเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ ถ้าเป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นโรคความจำเสื่อม สมาธิลดลง
เลือดอาจไปเลี้ยงไตไม่พอ เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อม ทำให้ไตวายเรื้อรังและภาวะไตวายจะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอีก
หลอดเลือดแดงในตาจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ อาจมีเลือดที่จอตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม ตามัวลงเรื่อยๆ จนตาบอดได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีความดันโลหิตสูง
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น การเดินเร็วๆ วิ่งเหยาะ หรือว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ควรออกกำลังกายประมาณ 15-20 นาที อย่างน้อย 3-6 ครั้ง/สัปดาห์
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพื่อลดปริมาณเกลือซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงได้
ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
ลดความเครียดของงานและภาวะแวดล้อม
ลดน้ำหนักตัว โดยเฉพาะในรายที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน ความอ้วนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคความดันโลหิตสูง
รับประทานยาและพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตและปรับยาให้เหมาะสม